ใช้แบคอัพข้อมูลกับ time machine ได้ทันที แค่เรียก setting ของ time machine ขึ้นมา และเลือกสำรองข้อมูลไปที่ airport time capsule
เห็นฮาดดิสขนาด 2TB อยู่ในเครือข่ายเรียบร้อย ใช้ได้ทั้งบน windows และ Mac
เป็นที่สำรองข้อมูลส่วนกลางที่สะดวกมากในการใช้งาน หรือ ใช้เก็บข้อมูลส่วนกลาง
เนื่องจากอุปกรณ์ที่ผมมีใช้งานอยู่ รองรับความเร็วสูงสุดได้แค่ 450mbps จึงเชื่อมต่อกับ airport timed capsule ตัวใหม่
ได้เท่ากับอุปกรณ์รุ่นเก่าเรามีความสามารถในการเชื่อมต่อ
จะเห็นว่าอุปกรณ์เท่าที่มีอยู่รุ่นเก่าๆ ใช้ความเร็วได้สูงสุดที่ 450mbps
และหากอุปกรณ์ที่รองรับรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังออกมา ก็จะสามารถเชื่อมต่อกับ airport time capsule ได้สูงขึ้นอีก
คือเชื่อมต่อไร้สายสูงสุดได้ที่ 1300mbps
ซึ่งทำให้ระบบเครือข่ายทั้งแบบมีสาย และ ไร้สาย ทำงานโดยรวมดีขึ้นมาก ให้ความคล่องตัวในการใช้งานขึ้นอีก
******************************************************
เท่าที่ใช้งานมากว่า 10 ชั่วโมงพร้อมแบคอัพข้อมูลตลอดเวลา อุณหภูมิที่ตัวเครื่องอุ่นๆ ไม่ร้อน น่าจะการที่มีการติดตั้งพัดลมภายใน และ การออกแบบระบบระบายความร้อน และ รูปทรง
ผิดจาก airport รุ่นก่อนหน้า ที่ค่อนข้างร้อนกว่า แต่ก็ไม่แฮงค์ เปิด 24 ชั่วโมง อันเป็นคุณสมบัติที่ดี
ที่ทำให้ติดใจใช้มาโดยตลอด
ดังนั้นคนที่ซื้อ airport extreme รุ่นใหม่ที่ไม่มีฮาดดิสติดตั้งมาด้วย น่าจะยิ่งเย็นกว่านี้
ส่วนข้อด้อยของตระกูล airport extreme / time capsule คือ พอตท์ LAN Gigabit ยังคงให้มาน้อยแค่ 3 พอตท์ เหมือนเดิม
การรับส่งสัญญาณจากตำแหน่งเดิมที่เคยใช้งานได้ความเร็วไม่เต็ม บริเวณชั้น 2 ก็กลับมารับสัญญาณได้เต็มสปีก 300mbps บน macbook air ตัวเก่า คงเป็นผลจากการปรับปรุงระบบเสาอากาศกระจายสัญญาณ 6 เสา
โดยรวมระบบ wifi ทำได้ดีเลย
ไว้มีโอกาศจะเปลื่ยนฮาดดิสภายในให้มีความจุเยอะขึ้นเป็น 4TB แล้วจะมาลงรูปให้ดูอีกครั้งครับ
โดยใช้ฮาดดิสขนาด 3.5" วางทแยงมุม ตามรูปที่ทาง ifixit นำมาให้ชม
ข้อมูลและภาพการแกะเครื่องจาก ifixit ดูได้ที่เวปไซด์
http://www.ifixit.com/Teardown/AirPort+Extreme+A1521+Teardown/15044/1 ก็เป็นรีวิว new airport time capsule 2013 สั้นๆครับ
ขอบคุณครับ